เทศน์เช้า วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เมื่อวานเขาถามเรื่องขวัญกำลังใจ เขาบอกทำไมชาวพุทธเราทำไมเรียกขวัญๆ
อันนั้นคือขวัญกำลังใจของเราไง ถ้าขวัญกำลังใจของเรานะ คนเราจิตใจยังไม่มีที่พึ่ง เขาก็เรียกหาของเขาอย่างนั้น แต่วันนี้วันพระๆ ไง ถ้าวันพระของเรา วันพระของเรา พระพุทธศาสนา เขาถามว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร
พระพุทธศาสนาสอน สอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย และการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่พวกเราขวนขวายกันอยู่ เราขวนขวายการกระทำของเรา ขวนขวายบุญกุศลของเรา ขวนขวายทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเรา ถ้าคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเรานะ ในเมื่อเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขอให้บุญกุศลนี้พาเกิด ถ้ามันไม่ถึงที่สุด เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไป ท่านรู้ของท่าน ท่านว่าถ้ายังไม่สิ้นๆ มันว่างของมันหมดเลย แต่บอกถ้ามันยังเกิดอีก เกิดอีกก็เกิดบนพรหมไง
การเกิดบนพรหม นั่นเพราะการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ถ้าชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แต่มันยังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันก็ยังเกิดอยู่ แต่ยังเกิดอยู่ ของเรา เวลาเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันอาศัยคุณงามความดีมาเกิดนะ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก
การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เราพูดกันประจำว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งแทงตลอดถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูจิตสิ จิต ดูสิ ในสัตว์ ในต่างๆ มันจิตทั้งนั้นน่ะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเข้าไปในฟาร์มก็ ๔๕ วัน ชีวิตหนึ่ง แล้วเป็นมด เป็นปลวก เป็นแมลง ๗ วัน มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของมัน ภพชาติหนึ่งๆ ของมัน จิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนี้ ฉะนั้น จิตที่มันมาเกิดเป็นมนุษย์มันถึงแสนยากไง
แต่เกิดเป็นมนุษย์แสนยาก ทำไมเกิดมนุษย์ มนุษย์มันเพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลๆ อย่างนี้ มหาศาลอย่างนี้เพราะคนมันทำคุณงามความดี คนมันขวนขวายไง เพื่อจะสร้างคุณภาพของจิตดวงนี้ไง
ฉะนั้น เราทำคุณงามความดีของเราๆ ถ้ามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ให้มีบุญกุศลนี้พาเกิด ถ้าบุญกุศลพาเกิดขึ้นมา ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีการทุกข์ ว่าการเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐๆ ถ้าเกิดมาแล้วมันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากในสถานะของความเป็นมนุษย์ไง เพราะมนุษย์มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มนุษย์มันต้องการให้คนยอมรับ คนอยู่ในอำนาจของมันไง เพราะกิเลสมันท่วมหัวไง มันถึงมีความทุกข์ไง แต่คนที่เขาเกิดมา เกิดมาเสวยภพชาติเป็นพระโพธิสัตว์ เขามีความสุขของเขา เขามีความสุขของเขา เขาสร้างคุณงามความดีของเขา เขาเกิดมาเขาไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป ถ้ามีบุญพาเกิดๆ
เรามาทำบุญกุศลกันเพราะเหตุนี้ ถ้าเหตุนี้ เราทำด้วยจิตใจเราที่สะอาดบริสุทธิ์ไง ทำบุญแบบทิ้งเหวไง ทิ้งเหวคือไม่คาดไม่หวังสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าเราทำบุญกุศลของเรานะ เราก็ปรารถนาประสบความสำเร็จของเรา การประสบความสำเร็จ ดูพระสิ พระบวชมาอยากเป็นพระอรหันต์ทุกองค์เลย แต่มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนใช่ไหม อยู่ที่อำนาจวาสนาของพระที่จะประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ถ้าใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ทำความสงบของใจเข้ามาได้แค่ไหน แล้วถ้ายกขึ้นวิปัสสนาขึ้นไป มันต้องมีเหตุมีผลไง
คนที่เป็นเศรษฐีโดยสุจริตธรรมนะ ไม่ใช่เศรษฐีโดยคดโดยโกงมานะ เขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำบากบั่นมาทั้งนั้นน่ะเขาถึงเป็นเศรษฐี คนเขาจะชื่นชมกันแบบว่าคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากคนที่ปากกัดตีนถีบจนเป็นเศรษฐีโลก เขาจะชื่นชมคนอย่างนี้ เพราะเขามีกิจกรรมของเขา เขามีการกระทำของเขา
ในการประพฤติปฏิบัติหรือในการทำคุณงามความดีมันก็เหมือนกัน มันต้องมีการกระทำอันนั้น มีการกระทำอันนั้นไง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาในหัวใจ มันจะเกิดมรรคเกิดผลได้อย่างไร เราไม่ทำสิ่งใดเลย ใช่ เราอาจจะมีบุญกุศลขึ้นมา เกิดมาถูกรางวัลที่หนึ่ง ๕๐๐ ใบ โอ๋ย! เราก็เป็นเศรษฐีโลกเหมือนกัน ไม่ทำอะไรเลย อันนี้ก็เป็นลาภ อันนี้มันเป็นบุญกุศล เหมือนนักภาวนาเราเหมือนกัน เวลาภาวนาไปจิตมันสงบ อู้ฮู! มันมีความมหัศจรรย์ของมัน อันนี้มันเป็นธรรมเกิด ธรรมเกิดก็เหมือนถูกลอตเตอรี่ เวลาคนมีวาสนาใช่ไหม ไม่ได้คิดอยากจะซื้อ อยากจะอะไรเลย คนเขายัดเยียดให้ ดันถูกรางวัลที่หนึ่ง ไอ้คนมันซื้อทุกวันเลย ซื้อเป็นร้อยๆ ใบ ซื้อเป็นแผงๆ เลย มันไม่ถูกอะไรเลย
นี่ก็เหมือนกัน ไอ้คนปฏิบัติเกือบเป็นเกือบตาย เขาอยากขวนขวายกันมาอยู่ มันไม่ได้อะไรเลย ไอ้เราพอมานั่งสมาธิ ผลัวะ! ลงเลย อันนี้มันเป็นเหมือนรางวัล รางวัลอย่างนี้มันไม่ใช่มรรค คำว่า ไม่ใช่มรรค ไง
คำว่า ไม่ใช่มรรค คนที่เขาถูกรางวัลมา เขามีลาภสักการะมา ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วหมด ส่วนใหญ่แล้วใช้เงินไม่เป็น เพราะเขาไม่ได้หามาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาได้มาง่าย มันก็เสียไปง่าย แต่ถ้าของเรา เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราประหยัดมัธยัสถ์ของเรา เราเก็บหอมรอมริบของเรา เราดูแลรักษาของเรา เรารู้จักคุณค่าของมันนะ มันหายาก เงินทองมันหายาก คุณงามความดีมันหายาก ถ้ามันหายาก เราก็พยายามขวนขวายของเรา ขวนขวายของเรา เราก็เก็บรักษาของเรา เราดูแลของเรา
เวลาทำสมาธิขึ้นมา เราทำของเราแสนยาก แล้วเวลาจิตมันสงบแล้วเราจะรักษาของเราอย่างไร เดี๋ยวมันก็เสื่อมไป เงินทองหามาเท่าไร เราก็ต้องใช้จ่ายทั้งนั้น เพราะคนเกิดมามีปากมีท้อง คนเกิดมามันต้องมีค่าใช้จ่าย ชีวิตเราอยู่ได้อย่างไร มันก็ต้องใช้จ่ายไป แสวงหามาเท่าไรก็ใช้จ่ายหมดไป ใช้จ่ายหมดไป นี่ก็ปฏิบัติแล้วก็ทรงตัวๆ กันอยู่อย่างนี้ นี่ไง มันต้องมีที่มาที่ไปๆ ทั้งนั้นน่ะ
พระพุทธศาสนาสอนอะไร เขาถามว่าพระพุทธศาสนาสอนอย่างไร ทำไมชาวพุทธเราเป็นอย่างนั้น
ชาวพุทธเรา ในเมื่อแก่นของศาสนา แก่นของศาสนาคือเรื่องอริยสัจ แต่ประเพณีวัฒนธรรมก็เพื่อโอบอุ้มศาสนาไว้ แล้วสิ่งที่ความเชื่อๆ ของเขา ในประเพณีท้องถิ่นมันมีของมันไปทั้งนั้นน่ะ มันอยู่ที่หัวใจของคน อยู่ที่สติปัญญาของคน จะมีสติปัญญาแยกแยะได้แค่ไหน
ดูสิ เวลาเราจะทานอาหาร เราก็แยกว่าอาหารมีคุณสมบัติอย่างไรที่มันเข้ากับธาตุขันธ์ของเรา คนเราเกิดมาบางคนนะ เขาแพ้อาหาร เขาแพ้ทุเรียนอย่างนี้ เขาไม่ได้กินทั้งชาติเลยเนาะ น่าอิจฉา เขาไม่ได้กินเลย เรากินทั้งวันเลย เขาแพ้ของเขา ของดีๆ บางคนสูดเข้าไปเป็นลมเลย นี่ไง เขากินของเขาไม่ได้ เขากินของเขาไม่ได้ ทั้งๆ ที่ของดี นี่เขาไม่มีวาสนา
นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ เราก็ต้องคัดต้องเลือก ต้องแยกแยะของเรา พระพุทธศาสนาสอนอะไร
เวลาความดี ความดีอย่างหยาบๆ เรื่องของทานๆ ขวนขวายกันมา เสียสละของเราเพื่อบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเรา ทาน เวลาทำทานแล้วทำอย่างไรต่อไป ทำทาน ทำอย่างไรต่อไป ต้องมีศีล เราต้องมีภาวนา ภาวนาเพื่ออะไร ภาวนาเพื่อให้เห็นคุณค่าของทานอันนี้ไง ถ้ามันย้อนกลับมาที่ทาน เรามาภาวนา เรามาตั้งใจเพราะอะไร ตั้งใจเพราะเราเสียสละของเรา เราเสียสละของเรา จิตใจมันก็เข้มแข็งขึ้นมา ถ้าเข้มแข็งขึ้นมา เราเสียสละสิ่งใดขึ้นไป เสียสละขึ้นไปแบบทิ้งเหวๆ ทิ้งเหวคือไม่ปรารถนาสิ่งใด
คนที่มันทุกข์มันยากอยู่ ทำสิ่งใดไปหวังผลตอบแทน พอหวังผลตอบแทนสิ่งนั้นแล้วมันก็เป็นทุกข์เป็นยาก แล้วไม่หวังผลตอบแทนแล้วบอกว่า เวลาทำบุญกุศลมันจะมีบุญกุศลทำให้เกิดในวัฏฏะมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วนั่นไม่ใช่ผลตอบแทน นั่นมันคืออะไร นั่นมันผลตอบแทนโดยสัจจะ โดยข้อเท็จจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คนทำคุณงามความดี เราปลูกต้นไม้ รดน้ำ ดูแลมันทั้งวัน ทำอย่างไรต้นไม้มันก็ต้องงอกงามขึ้นมา มันจะเกิดมีแรง เกิดมีภัยของเราขึ้นมา เราก็ค้ำมันขึ้นมา เราก็แก้ไขของเราขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีมันเป็นความดี เป็นสัจจะความดีในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากปรารถนาให้มันสมเหตุสมผล เหมือนกับคนซื้อหวยๆ เขาซื้อหวยร้อยใบพันใบก็ไม่ถูก ไอ้เราไม่ได้ซื้อเลย เขายัดเยียดให้ ไปรับรางวัลมา เราถูก
นี่ไง สิ่งที่ว่ากรรมมันเป็นอจินไตย คำว่า อจินไตย นะ ใครทำสิ่งใดมา เวลากรรมมันให้ผลๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เวลาท่านจะปรินิพพาน อานนท์ เราหิวกระหายน้ำเหลือเกิน
พระอานนท์จะไปตักน้ำมาให้ท่านฉัน มาให้ท่านดื่ม ไปถึง ลังเลๆ เพราะท่านเคารพบูชาของท่าน มาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า น้ำที่นี่มันขุ่น ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดกลั้นไว้ก่อนเถอะ ไปข้างหน้า ไปกินน้ำใสๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน ตักน้ำมาเถิด
พระอานนท์ก็จำใจต้องไปทำเพราะเคารพบูชา พอจะตัก น้ำขุ่นๆ มันก็ใสเฉพาะตรงที่ตักขึ้นมาน่ะ มันเป็นความมหัศจรรย์นะ
พูดถึงเวลากรรมคือน้ำขุ่นอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านเคยพ่อค้าโคต่าง โคต่างก็มีเกวียนไป เวลามันจะกินน้ำ ก็ด้วยความคิดเหมือนพระอานนท์ สงสารอยากให้กินน้ำดีๆ ไง เพราะมีเกวียนเล่มหน้าผ่านไปก่อน สุดท้ายแล้วกรรมอันนั้น เศษกรรมอันนั้นมันมาถึง ถ้าเศษกรรมอันนั้นมาถึง เวลาพระอานนท์จะตักขึ้นมามันใสเฉพาะตรงนั้น ใสเพราะว่าด้วยอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา ท่านทำให้น้ำใสได้ พอใสได้ขึ้นมา ด้วยวาสนาการเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่น้ำขุ่นๆ นั่นคือเรื่องของกรรม กรรมมันให้ผลไปทั้งนั้นน่ะ นี่เวลากรรมมันให้ผลนะ
เราทำแต่กรรมดีๆ ของเรา กรรมดีต้องให้ผลของเรา กรรมดีให้ผลตรงไหน กรรมดีให้ผลตรงเรามีสติมีปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญานะ ของที่ว่ามันของเล็กน้อย แต่ด้วยสติปัญญาของเรา เราทำให้มันเป็นของมีค่าขึ้นมาได้ คนที่ไม่มีปัญญา เพชรพลอย เขายังให้เป็นของมีค่าขึ้นมาไม่เป็นเลย ถ้าคนไม่มีสติไม่มีปัญญาของเขา แต่เรามีปัญญาของเรา ของจะมีค่าไม่มีค่า เพราะจิตใจของเรามีคุณค่าขึ้นมา จิตใจเรามีคุณค่า ทุกอย่าง ของที่อยู่กับเรามีค่าหมดเลย
จิตใจของเราเป็นอกุศล จิตใจของเรามันเลวทราม เพชรนิลจินดามันก็มาโปะเราอย่างนั้นน่ะ มันไม่มีสิ่งใดเลย เพราะมันเสียหายที่หัวใจอันนั้น ถ้าหัวใจอันนั้น เรามีสติมีปัญญา เรามีสติปัญญา เราได้การภาวนาของเรา สติปัญญามันแยกแยะของมัน มีคุณค่า ของที่ไม่มีค่าๆ ในสายตาคนอื่นทั้งนั้นน่ะ แต่มันมีคุณค่ากับหัวใจของเรา เพราะหัวใจของเรามีสติมีปัญญาของเรา จิตใจที่มันมีคุณค่าๆ ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ขึ้นมา แล้วมันจะมีอะไรเป็นความทุกข์ เพราะถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้แล้วกิเลสมันแทรกแซงไม่ได้ไง ไอ้ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะว่าตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง แต่ถ้ามันมีสติปัญญาแล้ว สถานะอย่างไร
เขาถามกันนะว่าพระปฏิบัติมันจะมีความสุขจริงๆ หรือ ฉันก็ฉันมื้อเดียว อดอาหารอีกต่างหาก อยู่แต่โคนไม้ อยู่ในเรือนว่าง มันมีความสุขจริงๆ หรือ ของเขา เขาอยู่ในตึก ๕ ชั้น ๑๐๐ ชั้นนั่นน่ะ เขายังมีทุกข์มียากอยู่เลย อู้ฮู! เขาเปิดแอร์เย็นฉ่ำเลยนะ เขายังมีความทุกข์ของเขานะ แล้วเอ็งมีความสุขจริงๆ หรือ นี่ไง เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติ เขาไม่ได้ปฏิบัติ เขาก็ไม่รู้คุณค่าของหัวใจไง ถ้าหัวใจมันมีคุณค่าขึ้นมา มันอยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขของมัน เพราะมันมีสติปัญญารักษาไง
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันจะต้องมีการชราคร่ำคร่า ถ้ามีการชราคร่ำคร่า มันรออยู่ข้างหน้าแล้ว ในปัจจุบันนี้เราได้ฝึกฝนเราหรือยัง ถ้าเราได้ฝึกฝนหัวใจของเราแล้วนะ สิ่งใดชราคร่ำคร่าไป เออ! มันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้ ก็เหมือนที่เรามีสติปัญญาแล้วเราจะเข้าใจได้หมดเลย แล้วถ้าเข้าใจได้หมดเลย กิเลสอยู่ที่ไหนล่ะ สิ่งที่มันทุกข์ๆ ทุกข์เพราะกิเลสมันเสี้ยม ทุกข์เพราะกิเลสมันฟูขึ้นมาในใจ มันทุกข์ มันทุกข์ตรงนั้น คนเรามันทุกข์เพราะกิเลสมันหลอกมันล่อ กิเลสมันพลิกมันแพลง มันถึงได้ทุกข์ แต่ถ้าคนมันมีสติปัญญา มันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมาแล้ว มันเท่าทันกิเลสแล้ว มันลบล้างกิเลสไป มันจะเอาอะไรมาทุกข์ ถ้ามันไม่มีความทุกข์ มันเป็นความสุขของเราใช่ไหม
ฉะนั้น สิ่งที่ข้างนอกมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นเครื่องที่ว่าใครมีบุญกุศลมากขนาดไหน คำว่า มีกุศล นะ ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ มีความพร้อมเพรียงไปตลอด ถ้าของเราทำสิ่งใดแล้วมันยังขาดตกบกพร่อง ยังขาดๆ หล่นๆ อยู่ เราก็พยายามทำของเราไป เพราะมันต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา ความพยายามของเรา การที่ความพยายามอย่างนั้น ความพยายามอย่างนั้น มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วมนุษย์มีสติมีปัญญา มีสมอง
ในปัจจุบันนี้คนเฒ่าคนแก่เขาให้หัดคิดนะ เดี๋ยวสมองมันจะฝ่อ คนเฒ่าคนแก่ต้องออกกำลังกาย เพราะอะไร เพราะสุขภาพมันซื้อหาไม่ได้ไง สุขภาพดีต้องเกิดจากการออกกำลังกายไง จิตใจถ้ามันจะมีคุณงามความดีของมัน มีการฝึกหัดของมัน ปัญญามันเกิดขึ้นมา นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนตรงนี้ๆ สอนอย่างนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน อานนท์ เธอบอกบริษัท ๔ นะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด การปฏิบัติก็คือการฝึกหัดปัญญาไง
การนั่งสมาธิ ถ้าไม่มีสติปัญญา เอาจิตเราลงสมาธิไม่ได้นะ อู๋ย! มันดิ้นมันรนไปเต็มที่เลยในหัวใจ มันดิ้นรนเต็มที่เลย เรามีสติปัญญา เราเท่าทันความคิดของเรานะ ไอ้คิดอย่างนี้คิดมาตั้งแต่ก่อนนั่ง คิดมาเป็นปีๆ แล้ว คิดมาตลอดเลย เวลาจะนั่งสัก ๕ นาที ๑๐ นาที หยุดคิดบ้างไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรอกๆ แต่ก็ต้องมีสติปัญญา มีกำลัง ด้วยศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อที่ไหน ความเชื่อเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ปฏิบัติมาแล้ว ท่านก็พ้นกิเลสไปแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติมาแล้วมันเป็นไปได้ๆ
เวลาไปอ่านประวัติครูบาอาจารย์นะ ตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ ล้มลุกคลุกคลาน มันก็เหมือนเรา ไม้ดิบๆ เริ่มต้นขึ้นมา ไม้ดิบๆ จุดไฟติดยากนะ เขาต้องผึ่งมัน ต้องตากให้ไม้มันแห้งก่อน แห้งแล้วจะจุดไฟติดง่ายนะ จิตใจของเรามันดิบๆ จิตใจเรามันทุกข์มันยากอย่างนี้ แล้วก็บอกว่าจะให้เหมือนท่านเลย
ไม้ยังไม่ได้โค่น มันสดอยู่ตลอดไป เพราะมันยังมีชีวิตอยู่ ถ้าตัดไม้แล้ว แล้วผึ่งแล้ว ไม้มันถึงจะแห้ง ถ้าไม้มันยังสดๆ อยู่ มันจะแห้งได้อย่างไร จิตใจที่เรายังไม่ได้ฝึกหัดเลย จิตใจที่เรายังไม่ดูแลมันเลย จะให้มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร แล้วเราจะให้จิตใจเราเหมือนท่านๆ มันจะเหมือนได้อย่างไร
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีความพยายามของเรา เราจะทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้น ถ้าเราทำอย่างนั้นแล้ว มันดิ้นรนทั้งนั้นน่ะ มันดิ้นรนเพราะกิเลส กิเลสมันโดนจับมัดแล้ว พอกิเลสโดนจับมัดแล้ว พอนั่งนะ อู้ฮู! โลกแทบระเบิดเลยนะ ถ้าเดินไปเดินมา สบาย ถ้าคุยเล่นกันนี่สบาย
คุยเล่นกันนะ ทั้งวันมันนั่งคุยกัน โม้ทั้งวันได้เลย พอเข้านั่งสมาธิ ๕ นาที มันจะเป็นจะตายเลย นี่ไง พอกิเลสมันโดนจับมัด มันดิ้นแล้วล่ะ แต่เอ็งก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำจะสู้มันอย่างไร ถ้าไม่ทำ มันจะรู้จักมันได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีเหตุมีผลในหัวใจของเรา เราไม่ชำระกิเลสในใจของเรา เราจะชนะกิเลสในใจของเราได้อย่างไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ไง
เขาถามว่าพระพุทธศาสนาสอนอย่างไร
ขวัญกำลังใจทางโลกมันเป็นเรื่องขวัญและกำลังใจ เรื่องวัฒนธรรมประเพณี สิ่งนั้นมันเป็นที่พึ่งอาศัยของคนที่มันไม่มีที่พึ่งอาศัย แต่ถ้าเราจะพึ่งอาศัย จิตใจเราต้องสูงส่งขึ้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานะ ถ้าเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา
เวลาอยู่ในวงกรรมฐาน สิ่งนั้นเวลาพูดแล้วมันสังเวช เห็นไหม ในนวโกวาท ที่ไหนมีการขับร้อง ที่ไหนมีการละเล่น ที่ไหนมีการฟ้อนรำ ไปที่นั่น แล้วเราดูสิ เขาทำกันอย่างนั้นน่ะ แล้วมันพึ่งได้จริงหรือเปล่า แต่มันเป็นขวัญเป็นกำลังใจของเขา มันพึ่งได้จริงหรือเปล่าล่ะ มันพึ่งได้แค่อารมณ์ชั่ววูบไง
แต่ถ้าเราจะเอาความจริงๆ เพราะอะไร เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีสติปัญญาพร้อมกับการเกิดการตายไปข้างหน้าเลยล่ะ เรามีสติปัญญาพร้อมนะ พระพุทธศาสนาสอนขนาดนั้นน่ะ แต่ขนาดสอนอย่างนั้น เวลาคนที่จิตใจเขาหยาบเขาก็ไม่เชื่อ เพราะมันทุกข์มันยากมาอย่างนี้แล้ว เขาจะเอาแต่ความสุขๆ ความสุขมันเป็นทางออกของกิเลสทั้งนั้นน่ะ คนประมาทเลินเล่อทำสิ่งใดจะผิดพลาดทั้งนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนพระตอนที่ท่านจะปรินิพพานนะ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด
ความไม่ประมาท ความไม่เลินเล่อ พระพุทธเจ้าฝากไว้เป็นข้อสุดท้ายเลย เป็นข้อสุดท้ายที่ฝากพวกเราไว้ว่าไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ให้ประมาทในการทำงาน ไม่ให้ประมาทในทุกๆ อย่าง ถ้าคนไม่ประมาท ไม่เลินเล่อ มันจะมีผิดพลาดไหม นี่ไง ถ้าเรามี พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ เวลาสอนถึงมรรคผลนิพพานเลย แต่เวลาท่านจะปรินิพพาน ท่านสอนถึงความไม่ประมาท เอวัง